ลิเวอร์พูล เจอช่วงขาลงสุดในยุค อาร์เน่อ สลอด หลังบุกพ่าย เชลซี 1-2 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นการแพ้ 3 นัดติดต่อกันครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2023 และในพรีเมียร์ลีกถือเป็นการแพ้ 2 นัดรวด แถมโดนยิงช่วงทดเจ็บถึงสองเกมซ้อน ทั้งจาก คริสตัล พาเลซ นาที 90+6 และล่าสุด เชลซี นาที 90+5
เกมนี้แทบไม่มีข้อแก้ตัว เพราะรูปเกมแสดงให้เห็นชัดว่า ลิเวอร์พูล “สมควรแพ้” เมื่อเจอกับแท็กติกของ เอนโซ มาเรสก้า ที่วางหมากได้อย่างยอดเยี่ยม เกมแพลนชัดเจน บีบคู่แข่งตั้งแต่แดนบน ทำให้หงส์แดงออกบอลลำบากตลอดทั้งเกม
มาเรสก้า ปรับแผนสุดแปลกแต่ได้ผล โดยจับ กุสโต มายืนกลางรับคู่กับ ไกเซโด พร้อมดัน เอนโซ เฟร์นานเดซ ขึ้นไปเล่นบทเพลย์เมกเกอร์ ส่วนแนวรุกใช้ การ์นาโช และ เนโต้ เติมความเร็วริมเส้น ก่อนส่ง เชา เปโดร ยืนหน้าเป้าหลอก ๆ เพื่อดึงแนวรับหงส์แดงให้หลวมลง
ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่จังหวะนาที 14 เมื่อ ไกเซโด ฉวยโอกาสจากพื้นที่ว่างกลางสนาม พลิกหนีตัวประกบและลากบอลขึ้นมายิงเสียบสามเหลี่ยมสุดสวย เป็นการทำลายเกมรับของลิเวอร์พูลทั้งระบบ ตั้งแต่แดนกลางไปจนถึงแนวหลัง ซึ่งฟาน ไดจ์ ไม่เข้าปะทะและถอยลึกจนเปิดช่องให้คู่แข่งได้เวลายิงเต็ม ๆ
ในด้านเกมรุก ลิเวอร์พูล ขาดความคมและต่อบอลขาด ๆ เกิน ๆ สามแดนเสียบอลง่ายจนโดนโต้กลับต่อเนื่อง แม้จะมีจังหวะตีเสมอได้ แต่สุดท้ายก็พลาดช่วงทดเจ็บจนแพ้ไปอีกเกม
สิ่งที่ต้องยกนิ้วให้คือความเหนียวของแนวรับเชลซี ที่แม้จะต้องใช้ “ฟูลแบ็ก 4 คน” ยืนเป็นเซนเตอร์หลังช่วงท้ายเกมกว่า 30 นาที เนื่องจากผู้เล่นหลักเจ็บหลายราย แต่กลับไม่เสียประตูเพิ่ม นับเป็นผลงานที่สะท้อนแท็กติกและการจัดการเกมของ มาเรสก้า ได้อย่างยอดเยี่ยม
ส่วนฝั่งลิเวอร์พูล โม ซาลาห์ ยังเรียกฟอร์มเก่งกลับมาไม่ได้ การมีส่วนร่วมกับเกมน้อยลงเรื่อย ๆ ยิงไม่คมเหมือนเดิม และถูกตั้งคำถามถึงผลงานในช่วงหลัง ขณะที่กุนซือ อาร์เน่อ สลอด ต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องความเข้ากันของนักเตะชุดใหม่กับระบบ เพราะตอนนี้รูปเกมและสมดุลทีมยังไม่เข้าที่
หลังพักเบรกทีมชาติ ลิเวอร์พูลจะกลับมาเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมจากแมนเชสเตอร์ งานนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญว่า สลอด จะสามารถพลิกสถานการณ์ให้ทีมกลับมาได้หรือไม่
แอสตัน วิลล่า ยุคเอเมรี่ สร้างเส้นทางทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก






إرسال تعليق